วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ : กราบในหลวง รัชกาลที่ ๙



๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๙





วันนี้ เรามีโอกาศได้เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง
เพื่อกราบในหลวงรัชกาลที่ ๙

ออกจากบ้านตอน ๕ โมงครึ่ง เพื่อไปหาไมค์ที่บ้านก่อน




และไปถึงสนามหลวงประมาณ ๑ ทุ่ม




นั่งรอได้ซักพัก ก็หาอะไรมารองท้อง
เราได้ข้าวกับจับฉ่าย ^^




รสชาดถูกปาก เพราะเป็นคนที่ชอบกินจับฉ่ายอยู่แล้ว
กินจนหมดเกลี้ยงเลย ^^

ซักพัก คุณน้าที่นั่งอยู่ข้างหน้าเรา
เอาข้าวต้มธัญพืชมาแบ่งให้
เราก็กินอีก ก็.. อร่อยอีกนั่นแหละ ^^




พอกินอิ่ม อะไร ๆ ก็สบายละ
ให้นั่งรออีกหลายชั่วโมงก็ไม่หวั่น


ระหว่างรอ ก็ถ่ายรูปกันนิดหน่อย




แถวหน้า : ป่ะป๊า , หม่าม๊า , ไมค์ , ส้ม
แถวหลัง : อี๊หลิน , ก้อย , อี๊เล็ก , อี๊มุ่ย


ผ่านไป ๑ ชั่วโมงนิด ๆ ไมค์นั่งรอจนเริ่มง่วง
จึงชวนกันไปเดินเล่น
เลยได้ถ่ายรูปคู่กัน :)






เดินเล่นซักครึ่งชั่วโมง ก็กลับไปนั่งรอต่อ
ในความรู้สึกของเรา ไม่เบื่อเลยนะ
เวลาผ่านไปไวมาก นั่งรอแป๊บ ๆ ก็สี่ทุ่มแล้ว
มองนู่นมองนี่เพลิน ๆ เลยทำให้ไม่เบื่อ


เราได้เดินเข้าไปในพระบรมมหาราชวังประมาณ ๔ ทุ่ม








เข้าไปยืนรอด้านในอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง
จึงถึงคิวเข้ากราบพระบรมศพ




เราว่า เราโชคดีนะ
จังหวะที่เราเข้าไป เราได้นั่งแถวหน้าสุด ซ้ายสุดของแถว
เท่ากับว่า ได้นั่งตรงกลาง หน้าพระบรมศพเลย
ถือว่า เป็นบุญของเรา ที่ได้ตำแหน่งที่นั่งที่เราคิดว่า ดีที่สุด


รวมเวลาในการรอทั้งหมด ประมาณ ๔ ชั่วโมงนิด ๆ
ถือว่า เป็นการรอที่น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ


ทุกคน มาด้วยความรักและความตั้งใจ
ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้กราบ ในหลวง รัชกาลที่ ๙


.....


ออกจากพระบรมมหาราชวัง
นั่งรถเมล์กลับไปที่รถ ที่จอดอยู่แถวโรงแรมรัตนโกสินทร์
ก็สนุกไปอีกแบบ ^^
ป๊า ม๊า และอี๊ ๆ โหนรถเมล์
เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งนัก อิอิอิ

เผลอ ๆ อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต
ที่เราได้โหนรถเมล์ด้วยกันก็ได้ :D




ไมค์ถึงขนาดพูดออกมาว่า
ไมค์ไม่ได้ขึ้นรถเมล์นานมากแล้ว
ได้โหนรถเมล์วันนี้ หัวเกือบชนเพดานเลย
นี่ นานมากแล้วจริง ๆ ที่ไม่ได้ขึ้นรถเมล์
เพราะ ครั้งสุดท้ายที่ไมค์ขึ้นรถเมล์
ยังตัวกระเปี๊ยกเดียว จับราวรถเมล์ไม่ถึงเลย ^^


.....


ก่อนกลับบ้าน
เรากับไมค์ แวะไปหม่ำพิซซ่า
ที่ร้านเหลี่ยมนมสด แถวเสาชิงช้า




เป็นอีกหนึ่งวัน (ซึ่งก็เหมือนทุก ๆ วันแหละ)
ที่ไมค์กุมมือเรา ขณะขับรถมาส่งเราที่บ้าน
แล้วเรารู้สึกว่า มีความสุขจัง ^^


.....


Happy Tuesday ka ... :)


.....


วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ขอบคุณกาลเวลา ที่ทำให้มีความทรงจำ



04-12-16


วัยเด็ก เป็นวัยที่มีแต่ความทรงจำ
การได้กลับไปสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำ
มันทำให้เรารู้สึกว่า เวลาผ่านไปไวมาก


วันนี้ เราได้กลับไปยังที่ที่เคยวิ่งเล่นในวัยเด็ก
มันดูเหมือนว่า
ทุกอย่างถูกหยุดเวลาเอาไว้
ทุกอย่าง ยังคงอยู่ที่เดิม
มีเพียงเวลาเท่านั้น ที่เดินต่อไปเรื่อย ๆ


รถคันนี้ เกิดก่อนเราซะอีก




สมัยก่อน บ้านอี๊เราขายยาจีน
เรามักจะไปวิ่งเล่นบ่อย ๆ
และ มีอะไรหลายอย่างให้เราเล่นได้ตลอดทั้งวัน




ชั่งยาเล่น เอาเขากวางมาขูดเล่น ชิมนู่นชิมนี่
เรียกได้ว่า ไม่เคยได้นั่งเฉย ๆ เลย


ทุกอย่าง ยังคงอยู่ที่เดิม
ตาชั่งอันเดิม ลูกเหล็กอันเดิม
กล่องเหล็ก ลิ้นชักยา ทุก ๆ อย่าง ยังอยู่ในที่ที่เคยอยู่




คนสวยก็ยังคงเป็นคนเดิม
เพียงแต่ แปลงร่างจากเด็กผู้หญิงตัวเล็ก
ไปเป็นป้าแก่อายุ 31 ตัวผอมแทน :D

เป็นป้าจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดแบบดัดจริตว่าแก่เป็นป้า
คือ ตอนนี้มีหลาน หลานเรียกป้าส้มแล้วอ่า (-*- )"




นึกไปนึกมา เวลาก็เพิ่งผ่านไปแค่ 20 กว่าปีเอง ^^"
ที่เราเห็นและเล่นสิ่งเหล่านี้


เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก


ถามว่า อยากย้อนเวลากลับไปมั้ย
เพราะ หลายคนชอบอยากย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
อยากวิ่งเล่น อยากไปเที่ยว โดยไม่มีเรื่องอะไรให้คิดมาก


แต่สำหรับเรา
ถ้าเป็นวินาทีนี้ ตอนนี้ ตอบได้ทันทีเลยว่า ไม่
เพราะ เรากำลังจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
ดังนั้น เราไม่อยากย้อนเวลากลับไป
เราไม่อยากไม่รู้จักไมค์
ไม่อยากมีวันไหนที่ไม่ได้รู้สึกดีดีกับไมค์
ตอนนี้ มีความสุขดีอยู่แล้ว ^^


.....


ขอบคุณกาลเวลาที่ทำให้มีความหลังในวัยเด็ก
ที่ทำให้นึกถึงแล้วอมยิ้ม ^^.


.....

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เปิดกล่องห้องครัวใหม่



01-12-16


มหกรรมรีโนเวทบ้านยังไม่สิ้นสุด
เราเดินทางกันมายาวนานเหลือเกิน ^^"

แต่ก็ยังคงมีความปลื้มปริ่มอยู่ไม่น้อย
กับห้องครัวเล็ก ๆ ที่ถูกใจเราที่สุด




จี๊ดสุดในความคิดของเราสำหรับห้องครัวก็คือ เตาอบขนม แฮร่ ๆ
ต่อไปนี้ เราจะได้ทำขนมเค้ก คุ๊กกี้ คัพเค้ก หรือ อะไรก็ตาม ที่เคยคิดว่าอยากจะทำซักที

ไม่ต้องรอให้บ้านที่ไมค์กำลังสร้างเสร็จ ถึงจะได้ทำ
เพราะ ตอนนี้ เราจะได้ทำก่อนแล้วววววววววววววววววววววววว...
เย๊ ๆ ๆ ๆ.................


อีกหน่อย คงจะมีขนมหน้าตาน่ารัก ๆ มาอวดในไดอารี่แน่ ๆ

คำว่าแน่ ๆ เนี่ย
อาจเป็นประโยคที่ว่า แน่ใจนะว่าน่ารัก
ถามไมค์ดู ๆ ว่า ขนมฝีมือเราแต่ละอย่าง หน้าตาน่ารักขนาดไหน คิกคิกคิก


ไว้ถ้าห้องครัวเรียบร้อยจริง ๆ พร้อมใช้งานแล้วเมื่อไหร่
จะถ่ายรูปมาอวดอีกรอบนึง ^^
ตื่นเต้น ๆ ๆ ๆ  อยากทำขนมเค้กแล้ววว.... (ว.แหวนล้านตัว)


.....


Happy Thursday ka ... :)


.....

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ถอดเครื่องมือจัดฟันออกทั้งหมด เพื่อเรียงใหม่



17-11-16



หลังจากทีชโฟเบียอาการกำเริบขั้้นรุนแรง
เมื่อวานตอนเย็น เราไปหาหมอ และเล่าให้ฟังพร้อมเปิดรูปให้ดูว่า
ฟันหน้าของเรานั้น เบี้ยวจริง ๆ
ตอนแรก หมอบอกว่า ไม่เบี้ยวนะ ขึ้นอยู่กับการแสยะยิ้ม
เราจึงเปิดรูปที่เห็นชัด ๆ เลยว่าฟันเบี้ยว ให้ดู
พร้อมเปรียบเทียบรูปที่ถ่ายไว้เมื่อเดือนสิงหาคม

หมอเห็นแล้วตกใจเลย คือ ตอนติดเครื่องมือ มองผ่าน ๆ ดูไม่เบี้ยวนะ
ต้องสังเกตุจริง ๆ ถึงจะเห็นว่าเบี้ยว

ดังนั้น
เมื่อวาน จึงถอดเครื่องมือของเราออกเกือบทั้งหมด เหลือไว้แค่บางซี่
และ x-ray ฟันใหม่อีกรอบ


ระหว่างรอ x-ray เราถ่ายรูปมาได้นิดหน่อย




รูปไม่ค่อยชัด เพราะ กล้องหน้าของ Note 5 ถ่ายรูปออกมาแล้วมันไม่ค่อยเสมือนจริงเท่าไหร่
แล้วรูปก็ค่อนข้างมืด
เรางี้... ปรับแสงสุดฤทธิ์ เลยยิ่งทำให้รูปไม่ชัด

จากรูป จะเห็นได้เลยว่า ฟันหน้าของเรา (ซี่ข้างขวา) เอียง (ถ้าในรูป ก็คือ ฟันคู่หน้า ซี่ข้างซ้าย)
ส่วนฟันบางซี่ ที่เห็นว่ายังมีเครื่องมือติดอยู่ เพราะหมอคิดว่า จะไม่เปลี่ยน จึงไม่ได้แกะออก
แต่สุดท้ายแล้ว ไป ๆ มา ๆ ก็แกะออกทั้งหมด และติดใหม่ เรียงใหม่


ยิ้มแบบให้เห็นฟันล่าง




พอยิ้มแบบให้เห็นฟันล่างด้วย คราวนี้ ยิ่งชัดกว่าเดิมว่า เบี้ยวมาก ๆ
ส่วนฟันล่าง ก็ยังเรียงไม่สวย ยังมีเอียงไปเอียงมา


หลังจาก x-ray เสร็จ หมอดูฟิล์มเรียบร้อยแล้ว
ก็บอกกับเราว่า ได้ x-ray ครั้งนี้ ก็ทำให้เห็นชัดว่า ยังมีอะไรต้องปรับอีกเยอะ
ก็ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ปรับกันไป

ส่วนที่เราสงสัยว่า จะดึงฟันให้เข้าไปด้านในอีกได้มั้ย
เพราะเรายังคิดว่า ฟันยังไม่งุ้มเท่าที่ควร ยังบาน ๆ เหยิน ๆ อยู่
หมอบอกว่า ไม่ได้แล้ว เพราะเราแกะหมุดออกหมดแล้ว

(แอบเซ็งอ่ะ)
กลับมาบ้านยังนึกว่า เดี๋ยวดูไปอีกซักพัก
ถ้ายังไม่พอใจเท่าที่ควร จะถามหมอว่า งั้นเราขอปักหมุดที่เหงือกอีกรอบ
เพื่อดึงให้ฟันเข้าไปจนเราพอใจ

คือ ไหน ๆ ก็ทำแล้วอ่ะ ทำทั้งที และคิดว่า จะเป็นการจัดฟันครั้งสุดท้ายในชีวิต
เราไม่อยากหยวน ๆ
เราอยากแบบ... ยิ้มแล้ว ชอบ ยิ้มแล้วมั่นใจ
ไม่ใช่ว่า เสียเงินแล้ว ยังได้สิ่งที่ไม่ถูกใจอีก ยังติดที่ว่า ฟันดูเหยิน ๆ นิด ๆ .. แบบนี้ไม่เอา


.....


ตอนแรกสุดที่เราติดเครื่องมือจัดฟัน
เราตัดสินใจเลือกติดเครื่องมือแบบเซรามิก
คือ เป็นสีขาวขุ่น ๆ จะเห็นแค่เส้นลวดที่ฟันเท่านั้น

แต่ช่วงครึ่งปีหลังมานี้
หมอขออนุญาติเปลี่ยนเป็นเครื่องมือปกติ
เพราะเคสของเรา ใช้แบบเซรามิกไม่เหมาะ
ดังนั้นในตอนนี้ เราจึงติดเครื่องมือแบบโลหะทั้งปากเลย


.....


ก่อนกลับ
หมอยังบอกอีกว่า เคสของเรา ถือว่า เป็นเคสที่ค่อนข้างยาก
เพราะ หมอแทบจะไม่เคยเจอเคสไหนเลย ที่ถอดเครื่องมือออกทั้งหมด แล้วติดใหม่


.....


อาการวันนี้
ปวดฟันมากกกกกกกกก.....
เพราะติดเครื่องมือใหม่ เรียงใหม่ เปลี่ยนองศาใหม่
โดยเฉพาะฟันหน้าซี่ที่เราว่าเบี้ยว ปวดมากกว่าซี่อื่นเลย T^T


กระแดะถ่ายรูปนิดนึง








.....


หวังว่า คงจะมีทางที่ทำให้ฟันสวยถูกใจเราได้นะ
คิดแล้วก็กลุ้มใจ กลัวสุดท้ายแล้ว ไม่มีทางเลือก ต้องหยวน ๆ T^T
และอยู่กับฟันเหยิน ๆ ไปตลอดชีวิต


พูดแล้ว ทีชโฟเบียก็กำเริบ...


.....

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทีชโฟเบีย



16-11-16


"ทีชโฟเบีย"
เป็นโรคที่เราบัญญัติขึ้นมาให้ตัวเอง (อิอิอิ)

เราเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง
คือ
โรคกลัวฟันเหยิน กลัวฟันไม่สวย
จะส่องกระจกและมองเห็นว่า ฟันของตัวเอง เหยิน ตลอดเวลา

เราจึงจัดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า
และ ครั้งล่าสุด ที่กำลังจัดฟัน คือ ครั้งที่ 3


แป้งบอกว่า เราเหมือนพวกเสพติดศัลยกรรม
คือ ตอนนี้ ก็ดีอยู่แล้ว แต่ชอบคิดว่า มันยังไม่ดี ยังไม่โอเค
เดี๋ยวคอยดูเหอะ แก้ไปแก้มา สุดท้าย แย่กว่าเดิม
เหมือนพวกที่สวยอยู่แล้ว แต่ไปทำหน้าแล้วกลายเป็นกระเทยอ่ะ


เราฟังแล้วก็ เออ ... ก็แอบกลัวนะ กลัวฟันจะแย่กว่าเดิม


แต่ ไม่รู้ทำไม ...


3-4 วันมานี้ อาการกำเริบหนัก
ส่องกระจกตลอดถ้ามีโอกาศ
แยกเขี้ยว ยิงฟัน เพื่อสำรวจว่า ฟันซี่ไหนบ้าง ที่เหยิน ซี่ไหนบ้าง ที่ไม่ตรง
ตรงไหนที่ยังไม่ถูกใจ ตรงไหนที่อยากปรับแก้


ทั้ง ๆ ที่ ไมค์กับแป้ง พูดเหมือนกันเลยว่า มันโอเคแล้ว มันดีแล้ว


แต่ ในความคิดของเรา ไม่อ่ะ มันยังรู้สึกว่า ฟันเหยิน อยู่เลย





และ ส่องไปส่องมา เหล่แล้วเหล่อีก...
ก็พบว่า ฟันหน้าข้างขวา แอบเบี้ยวนิดนึง
คราวนี้หล่ะ นอนไม่หลับเลย
นัดหมอฟันอีกครั้งเดือนหน้า เราใจร้อนมาก รีบโทรนัดหมอ เพื่อไปคุยกับหมอโดยด่วน
ก่อนที่ฟันจะเบี้ยวไปมากกว่านี้

เพราะ เมื่อสัปดาห์ก่อน หมอบอกว่า ต้นปีหน้า เราจะถอดเหล็กแล้ว
เราจึงไม่อยากเสียเวลา รอพบหมอตามวันนัด





.....




เรามีถ่ายรูปวิวัฒนาการของฟันเราไว้ตลอด
ตั้งแต่ ก่อนจัดฟันครั้งที่ 3 นี้ ว่า ฟันเราแย่ขนาดไหน
ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นระยะ ๆ ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน
จนไมค์พูดว่า ดีแล้ว ที่ไปจัดฟันอีกรอบ

เราตั้งใจไว้ว่า ถ้าจัดฟันเสร็จ ถอดเหล็กแล้ว ฟันสวยแล้ว
เราจะเอารูปทั้งหมดที่ถ่ายเก็บไว้ มาเขียนในไดอารี่
ไล่ลำดับให้ดูเลยว่า แต่ละเดือน แต่ละช่วงของการจัดฟัน
มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ใส่เครื่องมืออะไรบ้าง ^^


.....


แปะรูปให้ดูความเปลี่ยนแปลงด้านข้างรูปนึง

รูปซ้ายมือ ถ่ายวันที่ 25-11-13
รูปขวามือ ถ่ายวันที่ 16-11-16




นี่เป็นแค่รูปตัวอย่าง
ถ้าจัดฟันเสร็จแล้ว จะแปะรูปที่ฮาร์ดคอร์กว่านี้ให้ดู
มีทุกมุม หน้าตรง หันข้าง กัดฟันหน้า กัดฟันกราม ยิ้มแยกเขี้ยว ยิ้มสวย มีหมด :D
จะเอามาเรียงเทียบให้ดูเลยว่า วิวัฒนาการเป็นยังไง

แล้วทุกคนจะพูดว่า อื้อหือ.......... แกสมควรจัดฟันครั้งนี้จริง ๆ ^^"


.....

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ไปโรงเจ



13-11-16


วันนี้ ที่โรงเจกวงตี่กุงมีพิธีเปิดศาลทีกง
หม่าม๊านัดเราไว้ว่า ให้ไปถึง 6 โมงครึ่ง
ก่อนนอน เราพูดกับไมค์ว่า เราต้องตื่นตี 5 ไปถึงบ้านไมค์ให้ทัน 6 โมงครึ่ง
เพื่อนั่งรอไมค์อาบน้ำแต่งตัว  และออกจากกรุงเทพตอน 8 โมง

ที่ไหนได้
กลับกลายเป็นว่า ...
ทุกคนตื่นกันแต่เช้า เพื่อรอเราคนเดียว และ ออกจากกรุงเทพตอน 8 โมง (อิอิอิ)

เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 5
แต่สุดท้าย ก็ไม่ตื่น มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอน 6 โมงครึ่ง เพราะ แม่มาปลุก
ถามว่า ทำไมยังไม่ไปอีก นี่ 6 โมงครึ่งแล้วนะ ...

พอตื่นปุ๊บ รีบส่งไลน์บอกไมค์ก่อนเลยว่า เพิ่งตื่น ยังไม่ได้ออกจากบ้าน
ไมค์ก็เลยบอกว่า เดี๋ยวไมค์ขับรถมารับที่บ้าน

สรุป ทุกคนพร้อมหมดแล้ว นั่งรอเราคนเดียว
(รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที)


ออกเดินทางจากกรุงเทพเกือบ ๆ 8 โมงเช้า
ไปถึงสุพรรณบุรี 9 โมง






มีเชิดสิงโตด้วย




เสียเงินอีกนิดหน่อย




ได้ทองกลับบ้าน 2 อัน :P




ก่อนกลับ ถ่ายรูปกับคณะสิงโต (ป่าป๊า หม่าม๊า กร ไมค์ และเรา)
สีของรูป จัดจ้านมากจริง ๆ ... ตัวงี๊ ดำกันทุกคน :D




ร้อน ๆ แต่ก็เพลินดีเหมือนกัน
กินก๋วยจั๊บเจไปตั้ง 3 ชามแหน่ะ ^^


.....

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รีโนเวท : ห้องนอน



05-11-16


รีโนเวทบ้านไปด้วย อยู่ไปด้วย เป็นอะไรที่....
เพลียมาก... เพลียทั้งกาย เพลียทั้งใจ

ห้องนอนเดิมของเรา มีเตียงบิ้วท์อิน และพื้นปูพรม
พอมีโอกาศทำบ้านใหม่ จึงขอรื้อพรมและเตียงนอนออก
ทาสีห้องใหม่ และ เปลี่ยนประตูห้องน้ำ กับ ประตูระเบียงใหม่ เนื่องจากของเดิมผุหมดแล้ว

หน้าตาห้องนอนก่อนทำ






เริ่มจาก การรื้อพื้นและพรม
ใช้เวลาประมาณ 2 วันในการรื้อ






คืนแรกของการย้ายที่นอน
เป็นอะไรที่รู้สึกแย่มาก ด้วยว่า ย้ายของจากห้องนี้ ไปอยู่อีกห้อง
แล้วตัวเราเองก็ไปนอนอีกห้อง ของเยอะมากกก...
นี่คือ สภาพสิ่งของ ที่เราขนจากห้องของเราไปไว้อีกห้อง




คือ ของเยอะมาก ๆ ๆ ๆ ๆ
จนต้องปูที่นอน นอนอยู่หน้าห้องน้ำ
ทำให้นอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาจนตีสี่กว่า




สุดท้าย... ไปนอนเปิดแอร์ นอนห้องนอนตัวเองที่กำลังรื้อ





ไม่เคยคิดเลยนะ ว่าชีวิตนี้ จะมานอนในที่แบบนี้ คือ ฝุ่นเยอะมาก
แล้วตัวเองแพ้ฝุ่นด้วยนะ แต่ก็ยังอดทนนอน

มันหลับสบายอย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ได้นอนในห้องนอนของตัวเอง
หรือว่าไม่อยากนอนหน้าห้องน้ำ


สภาพห้องคืนแรกที่รื้อพื้น






2 วันผ่านไป ไวเหมือนโกหก... รื้อพื้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว




เราไปนอนในห้องที่กำลังรื้อแค่คืนแรกคืนเดียว
หลังจากนั้น ก็ย้ายไปนอนในห้องคลินิคที่ชั้น 1 แทน
ชีวิตเหมือนไปเข้าค่ายเลย อิอิ


แล้วด้วยความที่เป็นโรคขี้อี๋ คือ อี๋ไปหมดทุกสิ่ง ที่ไม่ใช่ของของตัวเอง
ดังนั้น การย้ายที่นอน จึงเป็นเรื่องวุ่นวายมาก
ต้องปูเสื่อก่อนที่จะปูผ้ารองที่นอน ปูที่นอน เสร็จแล้วก็ปูผ้าห่มอีกชั้น
แล้วถึงจะนอนได้ ไม่งั้น ไม่สบายใจ นอนไม่หลับอีก
อ้อ ได้รับความอนุเคราะห์เสื่อจากไมค์  ขอยืมมาเข้าค่ายแป๊บนึง :P


และ นี่คือสภาพเตียงนอนของเรา




หลังจากรื้อพื้นไม้และพรมเรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงเวลาซื้อกระเบื้อง กู๋ถามว่า จะเลือกกระเบื้องเองมั้ย
เราไม่มีเวลาไปเลือก ก็เลยบอกไปว่า ให้กู๋เลือกให้ แบบไหนก็ได้ ขอแค่เป็นสีขาว




ก็เลยได้กระเบื้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาวล้วนมา




พอกระเบื้องมาส่งเรียบร้อย ก็เริ่มปูพื้นกันเลย
ห้องของเราขนาดประมาณ 36 ตร.ม. ใช้กระเบื้องทั้งหมด 25 กล่อง


ปูกระเบื้องอย่างจริงจัง คือ 2 วันแรก หลังจากกระเบื้องมาส่ง




รูปอาจจะดูฟุ้ง ๆ หน่อย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ถ้าเราใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปตอนกลางคืนทีไร รูปที่ได้จะฟุ้ง ๆ แบบนี้ทุกที






หลังจากนั้น ช่างก็มามั่ง ไม่มามั่ง
บางวันมา ก็ไม่ทำห้องเรา ไปทำห้องอื่น
ทำให้ห้องของเรา คาราคาซังไม่เสร็จซักที




ทุก ๆ เช้า เราต้องมาคอยลุ้นว่า วันนี้ ช่างจะมาทำบ้านมั้ย
เพราะเรานอนลำบากมากจริง ๆ เลยอยากให้ห้องเสร็จเร็ว ๆ

ไม่ใช่ว่าจู้จี้หรืออะไรหรอกนะ คือ ถ้าเรามีที่นอนดี ๆ เป็นเรื่องเป็นราว
จะทำซักเดือนสองเดือน ก็คงไม่เดือดร้อน


ผ่านไปเกือบ ๆ สองสัปดาห์ งานปูกระเบื้องจึงเรียบร้อย (หรอ ??)




พอช่างบอกว่า โอเคละ ปูกระเบื้องเสร็จแล้ว
เราก็มาดูผลงานกัน แม่เจ้า............




คือ ระหว่างที่เค้ากำลังปู เราก็มีไปดู ๆ บ้างนะ
แล้วก็บอกว่า ปูไม่เท่ากันนะ แผ่นนี้สูงกว่าแผ่นนั้น แผ่นนั้นสูงกว่าแผ่นนี้
ตรงจุดนี้ไม่เรียบ ตรงจุดนั้นไม่ดี

เค้าก็ฟังมั่ง ไม่ฟังมั่ง แล้วก็บอกว่า จะแก้ให้

วิธีการแก้ของเค้าก็คือ โปะยาแนวให้หนา ๆ
เพื่อปกปิดรอยต่อระหว่างกระเบื้อง ที่มันสูงไม่เท่ากัน เพราะปูไม่เท่ากัน

สุดท้าย เราไม่ยอม ก็เลยต้องรื้อกระเบื้องทิ้ง แล้วปูใหม่
แต่ก็ไม่ได้รื้อทุกแผ่นที่เราติไปหรอกนะ เพราะ ถ้าทำแบบนั้น คงต้องรื้อปูใหม่ทั้งห้อง
เราก็เลยเลือกแผ่นที่อาการโคม่าจริง ๆ ให้เค้ารื้อ
แล้วก็หยวน ๆ เพื่อให้งานมันจบ ๆ ไป เพราะนี่ก็รอมา 2 สัปดาห์แล้วไม่เสร็จซักที


งานพื้นเสร็จ ต่อไปก็คือ เก็บรายละเอียด ทาสีห้อง และ เปลี่ยนประตู




ซึ่ง ใช้เวลาอีกประมาณเกือบ ๆ 2 สัปดาห์
กว่าคุณช่างจะบรรเลงสีขาวลงบนผนังห้องของเรา และเปลี่ยนประตูระเบียงให้เรา
งานเปลี่ยนประตูก็ใช่ว่า วันเดียวจบนะคะ
นู่นนนนนนนน... 4 วัน จบ แก้แล้วแก้อีก ไม่พอดีซักที ติดประตูเสร็จ ปิดไม่ได้ บลา ๆ ๆ ...


รวมเวลาไปเข้าค่ายของเรา ก็ไม่กี่วันหรอก แค่ อีก 6 วัน ครบ 1 เดือน






ก่อนงานเสร็จสมบูรณ์ ส้มก็ไปดู ๆ ว่า ต้องเก็บรายละเอียดตรงไหนอีก
ตรงไหนเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พยายามเก็บเอง ทำเอง เพราะ ไม่อยากไปบอกช่างแล้ว
มีไปทาสีเก็บรายละเอียดตามมุมของประตูบานพับเองนิดหน่อย




เพลียสุดชีวิต ........
ที่เพลียนี่ ไม่ใช่ว่า ทำงานเพลียนะ
คือ การไปนอนในที่ที่ไม่สบาย แน่นอนอยู่แล้วว่า มันทำให้เราไม่สบายตัว
และหลับไม่เต็มอิ่ม วันหยุด อยากตื่นสาย อย่าได้หวังในช่วงของการทำบ้าน
เพราะ ช่างมาตั้งแต่ 7 โมงกว่า มาถึงก็เริ่มขุด เริ่มเจาะ เริ่มเคาะ
อย่าหวังจะได้หลับต่อ เลยยิ่งทำให้เราเพลียหนักกว่าเดิม


กว่าจะได้ห้องนี้มา




เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ก็ถึงเวลา ย้ายกลับ ...
งานทิ้งจึงมาอีกรอบ รอบแรก ก่อนทำห้อง ตอนเก็บของลงลัง ก็ทิ้งไปเยอะแล้วนะ
พอย้ายกลับ ก็เลือกของอีกรอบ และ ทิ้งอีก ทิ้ง ๆ ๆ ทิ้งของไปเยอะมาก ๆ
เพราะ ในใจของเรา อยากได้ Minimalist Bedroom
ทุกสิ่งอย่างจะต้องดูน้อยชิ้น และ เป็นระเบียบ แลดูสะอาดตา

เสื้อผ้าบริจาคไปสิบกว่าลัง รองเท้าอีกเกือบ 30 คู่
คือ บางอย่างก็เสียแล้วใช้ไม่ได้ทิ้งไป บางอย่างยังใหม่อยู่ก็บริจาค

พอเก็บห้อง ถึงได้รู้ว่า เราซื้อของที่ไม่ใช้มาเก็บไว้เยอะมาก ๆ
ขนาดตอนนี้ ทิ้งไปเยอะแล้ว แต่ที่ตัดใจไม่ได้ ก็ยังเยอะเหมือนเดิม
ปวดใจ กับสิ่งที่ ... ไม่ใช้ แต่ ไม่ทิ้ง (=.=  )"


.....


เมื่อเลือกของได้แล้วว่า อันไหนเก็บไว้ใช้ต่อ อันไหนทิ้ง
ต่อไปก็มาแปลงโฉมให้มัน

เราเลือกที่จะทาสีเอง แทนที่จะทิ้งไปแล้วซื้อชิ้นใหม่ที่เป็นสีขาว
ก็สนุกดีนะ ได้ทำเอง ได้ลงมือเอง แอบภูมิใจเล็ก ๆ ^^


เริ่มจาก ชั้นเก็บของเล็ก ๆ






พอทาเสร็จแล้ว ก็ใส่หูจับกลับที่เดิม






^^ ภูมิใจมาก ๆ



กระจกเงา ก็ทาสีขอบกระจกใหม่ จากสีน้ำตาลอ่อน เป็นสีขาว




ตู้ข้างเตียง ก่อนหน้านี้ เป็นสีน้ำตาลเข้ม
เราก็หาอะไรที่เป็นลายดอกไม้มุ๊งมิ้งตามประสามาปูไว้
พอทำห้องใหม่ ก็เลยต้องแปลงร่างให้เค้าด้วย




เริ่มจาก แกะเปลือกออก (พูดเหมือนเป็นอะไรซักอย่าง อิอิ)




ลงมือทาสี




ทาสีอยู่ 3 วัน กว่าจะเสร็จ
เพราะ วันแรก ทาสีรองพื้น วันที่สองทาจริง และวันสุดท้าย เก็บรายละเอียด

รูปนี้ ยังไม่เสร็จ เพราะ ตัวลิ้นชัก เอาไปทาสี รอสีแห้งอยู่




เมื่อโต๊ะข้างเตียงทาสีเสร็จ ก็มาทาสีโคมไฟด้วย
ตอนแรกโคมไฟเป็นสีขาวม่วง
เราทาสีใหม่เป็นสีขาวดำแทน




ของจุ๊กจิ๊กอื่น ๆ ก็ทาสีเองบ้าง ซื้อใหม่บ้าง ปน ๆ กันไป

ส่วนเตียงนอน เป็นเตียงเดิม เพราะ สีขาวอยู่แล้ว
แค่เย็บผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ใหม่ และ ซื้อผ้าห่มผืนใหม่ที่เป็นสีขาว

เราไปซื้อผ้าสีขาวลายจุดสีดำจากสำเพ็งมา 4 เมตร (200 กว่าบาท)
แล้วก็มานั่งเย็บผ้าปูที่นอน กับ ปลอกหมอนเอง
และ ผ้าห่มผืนใหม่จาก Ikea จำราคาไม่ได้แล้ว
แค่นี้ ก็ได้ที่นอนขาวสะอาดตา น่านอนที่สุด ^^




ถึงวันนี้ จัดห้องมาแล้ว 3 สัปดาห์ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจัดห้องเสร็จ
ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ไว้พอใจเมื่อไหร่ จะถ่ายรูปโดยรวมมาอวดอีกที ^^




.....


Happy Saturday ka ... :)


.....