วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วันที่เกือบจะหมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา



25-02-17


                                                                          รูปจาก Google


ตั้งแต่มีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้น
ทำให้เราเป็นคนกลัววัด...

ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก เรากลัววัด
ไม่ใช่แค่ความรู้สึกกลัวนะ
แต่ มันแสดงออกทางร่างกายด้วย

วันนี้ เราไปวัดเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เกิดเรื่อง
ซึ่งถ้านับ ๆ แล้ว ก็ประมาณ 1 เดือนนิด ๆ จากการไปวัดครั้งสุดท้าย

ตั้งแต่เช้า ตอนตื่นนอน ก็นึกตลอดว่า จะไป หรือ ไม่ไป ดีนะ ??
หัวใจเต้นแรงและเร็วตั้งแต่ช่วงเช้าที่ตื่นนอน


.....


สาเหตุที่ทำให้เรากลัววัด

เราได้คุยกับคุณป้าท่านนึง เป็นศิษย์ของวัด... (ซึ่งเราไม่อยากเอ่ยถึง)
เราไม่แน่ใจว่า ที่วัดเค้าสอนแบบนี้ หรือว่า คุณป้าคิดเองแบบนี้


แต่ในช่วงที่สภาพจิตใจของเรากำลังอ่อนไหว
คำพูดของเค้า ทำให้เราเขวไปค่อนข้างมาก


จนถึงขนาดแทบจะขาดความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเลย
เพราะ ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น
คุณป้าคนที่เราคุยด้วย เค้านำมาผูกเรื่องกับพระพุทธศาสนา


เราไม่สามารถนั่งสมาธิได้
เราไม่สามารถสวดมนต์ได้ (แม้แต่บทสวดสั้น ๆ ก่อนนอน เราก็ทำไม่ได้)
จิตใจของเราไม่รับอะไรทั้งสิ้น ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และพระสงฆ์


จริง ๆ นะ ...
ตัวเราเอง ยังไม่เชื่อเลยว่า ทำไมถึงได้คิดและรู้สึกแบบที่กำลังเป็นอยู่
ทั้ง ๆ ที่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว เราเพิ่งไปบวช และหลังจากนั้นก็สวดมนต์ตลอดทุกวัน


.....


การที่เราตัดสินใจไปวัดในครั้งนี้
เราเพียงแค่ต้องการก้าวออกมาจากความกลัว


ทันทีที่เราเริ่มคิดว่าจะไปวัดอีกครั้ง
หัวใจก็เต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งวินาทีที่เดินเข้าวัด ขึ้นไปบนศาลา
ใจเราหวิวอย่างบอกไม่ถูก หายใจไม่ทั่วท้อง
คิดแต่ว่า กลัวจังเลย ๆ ๆ จะไม่เป็นอะไรแน่ ๆ ใช่มั้ย


อ้อ ลืมเล่านิดนึง
ความจริง ที่เรามาวัดในครั้งนี้ ก็เพื่อจะมาคุยกับคุณแม่ท่านนึง ที่บวชอยู่ที่วัดเป็นประจำ
เราพูดตามตรงนะ เราไม่รู้จะปรึกษาเรื่องนี้กับใครแล้วจริง ๆ
ยิ่งอ่านใน Google หรือตามเวปต่าง ๆ
จิตใจของเรายิ่งแย่กว่าเดิม เราจึงคิดว่า ไปหาคุณแม่ที่วัดดีกว่า


ทันทีที่เราเริ่มต้นเล่าเรื่องของเราให้คุณแม่ฟัง
น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาโดยกลั้นเท่าไหร่ก็ไม่อยู่


บอกเล่าถึงความอึดอัดใจที่เกิดขึ้นในความคิดและในจิตใจของตัวเองที่มีต่อพระพุทธศาสนา
บางเหตุการณ์ที่เราเล่าให้คุณแม่ฟัง ทำเอาคุณแม่ตกใจ และเอื้อมมือของท่านมาจับมือของเรา
และบอกว่า เราโชคดีมากแล้ว ที่เราดึงสติของตัวเองกลับมาได้ขนาดนี้


ต่อไปนี้ หากจะทำอะไร
ให้คิดดีดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ กว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์


ต่อไปนี้ ห้ามฟัง ห้ามคุย ห้ามอ่าน อะไรแล้วทั้งสิ้น
ให้เราอยู่กับตัวของเราเอง ทำในสิ่งที่ตัวเราคิดว่าถูก คิดว่าดี
อย่าไปตามคำพูดของคนอื่น ใครชวนไปไหนหรือชวนทำอะไร อย่าทำ
ให้เราคิดไว้เสมอว่า เราทำความดี ไม่มีใครสามารถทำอะไรเราได้
มารที่อยู่ในความคิดของเรา ที่เราจินตนาการขึ้นมา ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้


หลังจากนั้น เราก็ไปนั่งสมาธิและสวดมนต์ทำวัตรเย็นต่อ
บอกตามตรงเลยนะว่า ใจเราไม่ได้แล้ว
เราไม่มีสมาธิกับการสวดมนต์ ไม่มีความสุขกับการสวดมนต์เลย
คิดเพียงแต่ว่า เมื่อไหร่ การสวดมนต์ในครั้งนี้จะเสร็จสิ้นสักที


ถามใจเรานะว่า เราอยากเป็นแบบนี้มั้ย
คำตอบคือ ไม่เลย เราอยากรู้สึกเหมือนครั้งแรกสุดที่เรามาที่วัด
ที่มีความสุขกับการปฏิบัติธรรม มีความสุขกับการสวดมนต์


.....


เราไม่รู้เหมือนกันว่า ความสุขเหล่านั้น หายไปได้ยังไง
คิดว่า น่าจะใช้เวลาอีกซักพักใหญ่ ๆ เลย


เพราะ ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตของเราตอนนี้
เราก็กำลังพยายามคลี่คลายและทำมันให้ดีที่สุด
ส่วนเรื่องจิตใจและความรู้สึกที่มีต่อพระพุทธศาสนา
ก็คงต้องรอหลังจากเรื่องปัญหาในชีวิตจบลง (เราคิดแบบนั้นนะ)


หวังว่า ทุกอย่าง จะกลับสู่สภาวะปกติในไม่ช้า


.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น